แลกเปลี่ยนประสบการณ์ Resident: CISTM19 ณ เมืองนิวออร์ลีนส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

19 September 2025

บทความโดย:
นพ.ธรรมธัช วีรมโนมัย
พญ.นริศรา เตชวัชรา

ระหว่างวันที่ 11 – 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา องค์กร International Society of Travel Medicine (ISTM) ได้จัดการประชุมวิชาการนานาชาติครั้งที่ 19 หรือ The 19th Conference of the International Society of Travel Medicine (CISTM19) ณ เมือง นิวออร์ลีนส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นงานประชุมที่ใหญ่ที่สุดในแวดวงเวชศาสตร์การเดินทาง จัดขึ้นเป็นประจำทุก 2 ปี โดยมีผู้เข้าร่วมจากหลากหลายประเทศทั่วโลก

การประชุมครั้งนี้เป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศไทยได้ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ ขยายเครือข่ายวิชาชีพพร้อมทั้งสะท้อนศักยภาพของไทยในด้านการพัฒนาเวชศาสตร์การเดินทางให้ก้าวทันต่อสถานการณ์สุขภาพโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นับเป็นอีกก้าวที่สำคัญในการยกระดับมาตรฐานการให้บริการและการวิจัยของไทยสู่ระดับสากล

แม้นิวออร์ลีนส์จะเป็นที่รู้จักในฐานะบ้านเกิดของดนตรีแจ๊ส แต่ในอีกด้านหนึ่ง เมืองนี้ก็มีประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับโรคไข้เหลือง — โรคติดเชื้อที่แพทย์เวชศาสตร์การเดินทางรู้จักกันดี

ก่อนที่วัคซีนไข้เหลืองจะถูกพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1937 สหรัฐอเมริกาเคยเป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญกับการระบาดของโรคนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 17 และ 18 หนึ่งในเมืองที่ได้รับผลกระทบรุนแรงและเป็นเมืองสุดท้ายที่พบการระบาดของไข้เหลืองก็คือ “นิวออร์ลีนส์” นั่นเอง (1)

การแพร่ระบาดของไข้เหลืองในนิวออร์ลีนส์ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังส่งอิทธิพลต่อโครงสร้างทางสังคมอย่างลึกซึ้ง ในยุคนั้น สังคมเมืองถูกแบ่งแยกอย่างชัดเจนระหว่างคนผิวขาว คนผิวสีที่เป็นอิสระ และกลุ่มทาส อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่กำหนด “โอกาสทางสังคม” กลับไม่ใช่เพียงแค่สีผิวหรือสถานะทางกฎหมาย แต่รวมถึงการมี “ภูมิคุ้นกันต่อไข้เหลือง” ด้วย

ผู้ที่เคยติดเชื้อและรอดชีวิตมาได้ จะถูกนับว่าเป็น “พลเมืองที่ผ่านการปรับตัว” (acclimatized citizens) และสิ่งที่พวกเขาได้รับ ไม่ใช่แค่ภูมิคุ้มกันทางชีววิทยา แต่คือสิ่งที่เรียกว่า “ทุนภูมิคุ้มกัน” (immunocapital) การได้รับการยอมรับทางสังคมว่าเป็นผู้ที่สามารถอยู่รอดในสภาพแวดล้อมนี้ได้อย่างแท้จริง เป็นการเปิดประตูสู่โอกาสในโลกเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ซึ่งผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันไม่สามารถเข้าถึงได้

ในช่วงปี ค.ศ. 1841 ถึงขั้นมีบันทึกว่า ชาวไอริชและเยอรมันผิวขาวจำนวนไม่น้อยพยายาม “ตั้งใจติดเชื้อ” เพื่อให้ตนเองมีภูมิคุ้มกัน และสามารถไต่ระดับทางสังคมให้สูงขึ้น — สะท้อนให้เห็นว่าภูมิคุ้มกันจากโรค ไม่ได้เป็นเพียงเกราะป้องกันสุขภาพ แต่เคยเป็น “ใบผ่านทาง” สำคัญของการเป็นสมาชิกอย่างเต็มตัวในสังคมแห่งนี้

ด้วยภูมิหลังทางประวัติศาสตร์เช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ “นิวออร์ลีนส์” จะได้รับเลือกให้เป็นสถานที่จัดประชุม CISTM ครั้งที่ 19 ซึ่งสหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพในปีนี้ เมืองแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงศูนย์กลางวัฒนธรรมและดนตรี แต่ยังมีประวัติศาสตร์สำคัญของโรคติดเชื้อที่แพทย์เวชศาสตร์การเดินทางทั่วโลกต่างให้ความสนใจ

AI in Travel Medicine

ในปัจจุบัน เทคโนโลยี AI ได้เข้ามามีบทบาทในวงการแพทย์อย่างกว้างขวาง และยังคงเป็นหัวข้อสำคัญที่ได้รับความสนใจในหลายแวดวง มีการถกเถียงและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการนำ AI มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยไม่กระทบต่อความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลหรือเกิดการละเมิดข้อมูล (data breach)

หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจภายในงานประชุมล่าสุด คือการนำเสนอแนวคิดการแปลงสมุดวัคซีนไข้เหลือง (International Certificate of Vaccination or Prophylaxis, “ICVP”) ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล โดยแนวคิดนี้มีจุดเริ่มต้นจากช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งในขณะนั้น สหภาพยุโรปได้ริเริ่มใช้ EU Digital COVID Certificate (EUDCC) ในรูปแบบ QR code เพื่อใช้เป็นหลักฐานการฉีดวัคซีน ต่อมาได้มีการต่อยอดระบบดังกล่าวให้สามารถรองรับวัคซีนอื่นๆเพิ่มเติม

โครงการนี้เกิดจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน ทั้งองค์การอนามัยโลก (WHO) และตัวแทนจากประเทศต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาระบบที่สามารถใช้งานได้ทั่วโลก มีความน่าเชื่อถือ และปลอดภัยสูง โดยในระยะเริ่มต้นคาดว่า Digital ICVP จะสามารถเข้าถึงได้ผ่านแอปพลิเคชันประเภท digital wallet เช่น EU wallet, national wallets, Google Wallet, Apple Wallet หรือแม้กระทั่ง WHO branded digital wallet ในอนาคต

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญของ AI ใน Travel Medicine คือการประยุกต์ใช้แอปพลิเคชันด้านสุขภาพบนอุปกรณ์พกพา (mHealth) (2) เพื่อช่วยติดตาม ตรวจสอบ และให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวในระหว่างการเดินทาง นักท่องเที่ยวสามารถกรอกข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงสถานที่เดินทาง อาการเจ็บป่วย หรือข้อมูลสุขภาพที่ได้จากอุปกรณ์สวมใส่ เช่น smartwatch เพื่อให้ AI สามารถประมวลผลข้อมูลได้อย่างครอบคลุม และให้คำแนะนำด้านสุขภาพที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Green vaccine procurement

สุขภาพของมนุษย์มีความเชื่อมโยงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้กับสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้

ในขณะที่ทุกภาคส่วนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับแนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการพัฒนาในด้านต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยี การเกษตร และการคมนาคม ไปสู่ความยั่งยืนโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

แม้วัคซีนจะมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคต่าง ๆ และช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม ผ่านการลดจำนวนผู้ป่วยซึ่งส่งผลให้ลดการใช้ทรัพยากรในระบบบริการสุขภาพ เช่น เตียงผู้ป่วย ยา และพลังงานในโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม กระบวนการผลิต จัดเก็บ และกระจายวัคซีนที่ไม่มีประสิทธิภาพอาจเป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่สูงมากกว่าหากไม่มีมาตรการควบคุมผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสมและยั่งยืน

ท้ายที่สุด การเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสภาพภูมิอากาศจากภาวะโลกร้อนย่อมส่งผลต่อระบาดวิทยาของโรคต่าง ๆ อาจนำไปสู่รูปแบบของโรคที่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งในระยะยาวอาจกลายเป็นความท้าทายที่มนุษย์ไม่สามารถรับมือได้ทัน หากไม่มีการเตรียมพร้อมและปรับแนวทางการจัดการวัคซีนให้คำนึงถึงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป

ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการหยิบยกประเด็นเรื่อง Green Vaccine Procurement หรือ การจัดซื้อวัคซีนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขึ้นมาเป็นหัวใจสำคัญ โดยมีเป้าหมายเพื่อขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาและกระจายวัคซีน ให้ดำเนินการด้วยประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่ไปกับการคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอนและรอบด้าน

Chikungunya vaccine (Vimkunya)

ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการความปลอดภัยขององค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (European Medicines Agency – EMA) ได้เริ่มการทบทวนข้อมูลกรณีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์รุนแรง (Serious Adverse Events) ที่เกิดขึ้นภายหลังการฉีดวัคซีนป้องกันโรคชิคุนกุนยาในผู้สูงอายุ โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตจำนวน 2 ราย และผู้ที่เกิดอาการข้างเคียงเกี่ยวกับระบบหัวใจและระบบประสาทรวมอีก 17 ราย (3) ส่งผลให้ องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (US FDA) และ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ได้ประกาศระงับการใช้วัคซีนดังกล่าวในกลุ่มประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปีชั่วคราว เพื่อรอผลการประเมินความปลอดภัยเพิ่มเติม

ในการประชุมที่จัดขึ้นครั้งนี้ ได้มีการพูดถึงวัคซีนป้องกันโรคชิคุนกุนยา Vimkunya ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดอนุภาคไวรัสเสมือน (Virus-like particle vaccine) โดยเทคโนโลยีการผลิตจะเลียนแบบโครงสร้างภายนอกของไวรัส หากแต่ไม่มีสารพันธุกรรมของไวรัสอยู่ภายใน โครงสร้างดังกล่าวช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้โดยไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อจริง

วัคซีน Vimkunya ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาให้ใช้ในผู้มีอายุ 12 ปีขึ้นไป และเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2568 มีการเผยแพร่ผลการศึกษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนในกลุ่มผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี พบว่า วัคซีนสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ถึงร้อยละ 87 ภายใน 3 สัปดาห์หลังการฉีด (4) และอาการไม่พึงประสงค์ที่พบไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ได้รับยาหลอก จากผลการศึกษาดังกล่าว ทำให้วัคซีน Vimkunya กลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างมากในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ท่องเที่ยวและโรคติดเชื้อ เนื่องจากกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากยุโรปและอเมริกาที่จะเดินทางไปยังประเทศที่มีไวรัสชิคุนกุนยาเป็นโรคประจำถิ่น

ในปีนี้ มีผู้แทนจากประเทศไทยเข้าร่วมการประชุมทั้งสิ้น 13 คน ประกอบด้วยตัวแทนจากมหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และกระทรวงสาธารณสุข โดยมี รองศาสตราจารย์ นายแพทย์วัชรพงศ์ ปิยะภาณี เข้าร่วมในบทบาท Associate Chair of the Scientific Program Committee

ในการประชุมครั้งนี้ คณะผู้แทนจากประเทศไทยมีบทบาทอย่างโดดเด่น โดยมีอาจารย์ 3 ท่าน ได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรบรรยาย และยังมีการนำเสนอผลงานวิจัยจากประเทศไทยในรูปแบบ oral presentation และ poster presentation ดังนี้:

  • Cases from Two TropMed Schools โดย รศ.นพ.วัชรพงศ์ ปิยะภาณี
  • Symposium: “Man in the Mirror: Promoting Responsible International Travel” โดย ผศ.นพ.วศิน แมตสี่
  • Panel: “Bon Appétit! Street Food: Demon or Foe? – Street food in Asia” โดย อ.พญ.พิมพ์พรรณ พิสุทธิ์ศาล
  • Breathing in Thailand: impact of PM2.5 related symptoms in short term international traveler in Thailand โดย รศ.ดร.นพ.อมรพัฐ กิจโร
  • 5-year Food Safety Regulations and Surveillance in Bangkok, Thailand – With Real World Data โดย พญ.นริศรา เตชวัชรา
  • Prevalence of Health Problems related to Marine Tourism among Thai and International Travellers in the Andaman Coastal Provinces of Southern Thailand โดย นพ.วิทัศน์ ทิพยวงศ์
  • Exploring the prevalence of food allergies in international travelers and common allergens: a scoping review โดย อ.นพ.มนัสวิน อ่อนหวาน
  • Acetazolamide Testing Approach for Travelers to High Altitude with Self-reported Sulfa Allergy โดย นพ.ธรรมธัช วีรมโนมัย
  • Needs, Attitudes, and Factors Influencing Medical Tourism in Thailand Among International Travelers โดย นพ.ชนะชัย พลพิทักษ์ชัย
  • A Retrospective Cross-Sectional Study of Pre-travel Preparation and Factors Associated with Illnesses among Foreign Travelers at Koh Lanta, Thailand โดย นพ.พัฒน์ ฉันทภิญญา
  • Increasing trend of Teleconsultations and Nurse’s role at Thai travel clinic โดย นางสาว อารยา ภูเด่นผา
  • Evaluating HTD Smart Vaccine: An AI-Based System for Vaccine Verification at the Thai Travel Clinic, Hospital for Tropical Disease, Bangkok, Thailand โดย นางสาว มาลาตรี เขื่อนควบ

การจัดงานประชุมวิชาการระดับโลก ณ เมืองนิวออร์ลีนส์ในครั้งนี้ เต็มไปด้วยเนื้อหาทางวิชาการที่เข้มข้น อัดแน่นด้วยองค์ความรู้ใหม่ๆ และข้อมูลล่าสุดจากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ความเป็นนิวออร์ลีนส์ก็ยังคงเปล่งประกายควบคู่ไปกับสาระทางวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นเสียงดนตรีแจ๊สอันเป็นเอกลักษณ์ การเฉลิมฉลองสไตล์ Mardi Gras ที่มีชีวิตชีวา รวมถึงอาหารท้องถิ่นรสเลิศที่สะท้อนวัฒนธรรมเฉพาะถิ่นได้อย่างลึกซึ้ง

การผสมผสานระหว่างความรู้และวัฒนธรรมเช่นนี้ ทำให้การประชุมครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ระดับสากล แต่ยังเป็นประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยสีสันและความประทับใจอีกด้วย

ในช่วงสุดท้ายของการประชุม CISTM19 ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า ประเทศไทยจะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม The 20th Conference of the International Society of Travel Medicine (CISTM20) ซึ่งนับเป็นวาระครบรอบ 40 ปี ของการจัดประชุมระดับนานาชาติในแวดวงเวชศาสตร์การเดินทาง และเป็นครั้งแรกที่มีการจัดงานประชุมดังกล่าวในทวีปเอเชีย งานประชุมดังกล่าวมีกำหนดจัดขึ้นที่ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร ในช่วงกลางปี พ.ศ. 2570

การได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของประเทศไทย และเป็นโอกาสสำคัญในการแสดงศักยภาพของประเทศ ทั้งด้านวิชาการ การจัดประชุมระดับสากล และการพัฒนาเครือข่ายเวชศาสตร์การเดินทางในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสู่สายตาโลก

1. Prinzi A. History of Yellow Fever in the U.S.: American Society for Microbiology; 2021 [Available from: https://asm.org/articles/2021/may/history-of-yellow-fever-in-the-u-s.

2. Farnham A, Blanke U, Stone E, Puhan MA, Hatz C. Travel medicine and mHealth technology: a study using smartphones to collect health data during travel. J Travel Med. 2016;23(6).

3. EMA. EMA starts review of Ixchiq (live attenuated chikungunya vaccine): European Medicines Agency; 2025 [Available from: https://www.ema.europa.eu/en/news/ema-starts-review-ixchiq-live-attenuated-chikungunya-vaccine.

4. Tindale LC, Richardson JS, Anderson DM, Mendy J, Muhammad S, Loreth T, et al. Chikungunya virus virus-like particle vaccine safety and immunogenicity in adults older than 65 years: a phase 3, randomised, double-blind, placebo-controlled trial. The Lancet. 2025;405(10487):1353-61

Photo credit: นพ.พัฒน์ ฉันทภิญญา

cistm19
conference
travel medicine

บทความอื่นที่น่าสนใจ

15 September 2025
บทความทางการแพทย์
การแพ้ถั่วขณะโดยสารเครื่องบิน

นพ. สกานต์ เจริญสกุลไชย โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน และนพ. จิรัฏฐ์ สุขมี โรงพยาบาลพัทยาปัทมคุณ ปัจจุบัน ประมาณร้อยละ 1 ถึง 10 ของประชากรโลกแพ้อาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง (1, 2) โดยอาหารที่แพ้บ่อยที่สุด ได้แก่ ถั่ว ถั่วลิสง นมวัว ไข่ ปลา สัตว์ทะเลมีเปลือก ข้าวสาลี และถั่วเหลือง กลุ่มประชากรเหล่านี้มีจำนวนไม่น้อยที่โดยสารโดยเครื่องบินซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพ้ระหว่างโดยสาร ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา มีรายงานหลายกรณีเกี่ยวกับการแพ้ถั่วบนเครื่องบิน รวมถึงกรณีรุนแรงที่นำไปสู่การเสียชีวิต บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการแพ้ถั่วขณะโดยสารเครื่องบินรวมถึงมาตรการที่จะปกป้องผู้โดยสารที่แพ้อาหารดังกล่าว ความชุกของการแพ้ถั่วขณะโดยสารเครื่องบิน การแพ้อาหารในนักเดินทางและนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างการโดยสารเครื่องบิน โดยความชุกของการแพ้ในผู้ที่มีประวัติแพ้อาหารเดิมอยู่ระหว่างร้อยละ 0.7 ถึง 10.7 (3-7) ถั่วและถั่วลิสงเป็นสาเหตุหลักของการแพ้อาหารในกรณีนี้ คิดเป็นร้อยละ 62.5 ถึง 75.0 ของการแพ้อาหารทั้งหมด (7, 8) จากการศึกษาก่อนหน้าพบว่า การสัมผัสถั่วระหว่างการโดยสารเครื่องบินสามารถเกิดขึ้นได้ 3 ช่องทาง ได้แก่ การสูดหายใจ การรับประทาน และผ่านการสัมผัสกับผิวสัมผัสต่างๆ โดยการสูดหายใจถือเป็นช่องทางที่พบได้บ่อยที่สุด […]

แพ้ถั่ว
แพ้อาหาร
อ่านเพิ่มเติม
18 November 2024
บทความทั่วไป
พิษจากปลาปักเป้า

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ. มุกดา  ตฤษณานนท์ การเดินทางไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆ นอกจากจะดูภูมิประเทศในแหล่งต่างๆ แล้ว การรับประทานอาหารก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง การรับประทานอาหารอาจมีอันตรายได้ ถ้าเราไม่ระวังและไม่ทราบสิ่งที่เป็นพิษมาก่อน ปลาเป็นอาหารที่น่ารับประทานอย่างหนึ่ง เนื่องจากเป็นอาหารที่ย่อยง่าย มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย มีสารอาหารที่สำคัญ แต่ปลาที่เป็นพิษ เช่น ปลาปักเป้า รับประทานแล้วเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ พิษของปลาปักเป้าเป็นพิษที่ทนต่อความร้อน เมื่อถูกความร้อนพิษจะไม่เสียไป ได้มีผู้นำเอาปลาปักเป้ามาขายเป็นจำนวนมากเรียกว่า “ปลาเนื้อไก่” เพราะเนื้อมีลักษณะคล้ายเนื้อไก่ ราคามไม่แพงเห็นแล้วน่ารับประทาน แต่ที่จริงเป็นพิษ ปลาปักเป้า หรือ Puffer fish เป็นปลาที่หาได้ในน้ำจืดและน้ำเค็ม พบได้ทั่วประเทศที่มีอากาศร้อนอบอุ่น ในประเทศไทยพบปลาปักเป้าน้ำจืดได้ตามแหล่งน้าต่าง ๆ เช่น ตามหนอง คลอง บึง ส่วนปลาปักเป้าหนามทุเรียน เป็นปลาปักเป้าทะเล พบได้ในอ่าวไทย ตามปกติ ปลาปักเป้าจะมีสภาพเหมือนปลาทั่วไป มีหนามสั้นหรือยาวแล้วแต่ชนิด หากถูกรบกวนจะพองตัวโตขึ้น มีรูปร่างคล้ายลูกโป่ง หรือ ลูกบอลลูน ปลาปักเป้าทะเลเป็นที่รู้จักันดี สำหรับชาวประมง ถ้าพบเห็นบนเรือลากอวน เขามักจะทำลายมันทิ้งหรือโยนกลับลงไปในทะเลในญี่ปุ่นเรียกปลาชนิดนี้ว่า “Fuge” ชาวญี่ปุ่นชอบรับประทานแต่ต้องมีการเตรียมโดยผู้ที่มีความชำนาญเฉพาะเป็นพิเศษ จึงจะไม่มีพิษ พิษของปลาปักเป้ามีชื่อว่า […]

ปลาปักเป้า
อ่านเพิ่มเติม
18 November 2024
คำถามที่ถามบ่อยเกี่ยวกับโรคมาลาเรีย

ข้อมูลจาก: แผ่นพับให้ความรู้ประชาชน โดยคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล โรคมาลาเรียคืออะไร       โรคมาลาเรียเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง ติดจากยุงมาสู่คน โดยเชื้อมาลาเรียในมนุษย์มีทั้งหมด 4 ชนิดคือ Plasmodium falciparum, Plasmodium vivax, Plasmodium malariae    และ  Plasmodium ovalae โรคมาลาเรียพบบ่อยแค่ไหน และพบในส่วนไหนของประเทศไทย        โรคมาลาเรียพบในประเทศเขตร้อน และเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญ องค์การอนามัยโรคประมาณกันว่าในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยเป็นมาลาเรียถึงปีละ 300-400 ล้านคนทั่วโลก และมีคนเสียชีวิตปีละประมาณ 1 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เกิดในทวีปแอฟริกา          ส่วนในประเทศไทยเองสามารถพบเชื้อมาลาเรียได้ในเขตป่า โดยเฉพาะตามเขตชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านเช่น ชายแดนไทย-พม่า ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยจังหวัดที่มีการรายงานพบผู้ป่วยมาลาเรียเป็นจำนวนมากคือ จังหวัดตาก กาญจนบุรี ตราด ราชบุรี แม่ฮ่องสอน เป็นต้น โดยจะพบในเขตพื้นที่ที่เป็นป่าเขาเท่านั้น  ไม่พบมาลาเรียในเขตเมือง โรคมาลาเรียติดต่ออย่างไร          โดยปกติแล้วคนสามารถติดเชื้อมาลาเรียโดยการถูกยุงก้นปล่อง (Anopheles)กัด โดยยุงจะปล่อยเชื้อมาลาเรียเข้าร่างกายคน หลังจากนั้นจะมีการแบ่งตัวมากขึ้นทำให้เกิดอาการของโรคมาลาเรียได้ และ เมื่อมียุงก้นปล่องมากัดคนที่เป็นมาลาเรียจะสามารถนำเชื้อแพร่ไปสู่คนอื่นได้อีก           เนื่องจากเชื้อมาลาเรียอยู่ในกระแสเลือดของผู้ป่วย ดังนั้นจึงมีรายงานการติดเชื้อมาลาเรียโดยการได้รับเลือด โดยการใช้เข็มฉีดยาหรือกระบอกฉีดยาร่วมกัน อาการของโรคมาลาเรียเป็นอย่างไร           โดยปกติแล้วผู้ป่วยมักจะเริ่มมีอาการภายหลังได้รับเชื้อแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ถึง 2 เดือน โดยอาการของผูป่วยคือจะมีไข้สูง หนาวสั่น เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว บางรายมีการบวดท้อง […]

มาลาเรีย
ยุง
เขตร้อน
โรคติดเชื้อ
อ่านเพิ่มเติม