พิษจากปลาปักเป้า

18 November 2024

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ. มุกดา  ตฤษณานนท์

การเดินทางไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆ นอกจากจะดูภูมิประเทศในแหล่งต่างๆ แล้ว การรับประทานอาหารก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง การรับประทานอาหารอาจมีอันตรายได้ ถ้าเราไม่ระวังและไม่ทราบสิ่งที่เป็นพิษมาก่อน ปลาเป็นอาหารที่น่ารับประทานอย่างหนึ่ง เนื่องจากเป็นอาหารที่ย่อยง่าย มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย มีสารอาหารที่สำคัญ แต่ปลาที่เป็นพิษ เช่น ปลาปักเป้า รับประทานแล้วเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ พิษของปลาปักเป้าเป็นพิษที่ทนต่อความร้อน เมื่อถูกความร้อนพิษจะไม่เสียไป ได้มีผู้นำเอาปลาปักเป้ามาขายเป็นจำนวนมากเรียกว่า “ปลาเนื้อไก่” เพราะเนื้อมีลักษณะคล้ายเนื้อไก่ ราคามไม่แพงเห็นแล้วน่ารับประทาน แต่ที่จริงเป็นพิษ

ปลาปักเป้า หรือ Puffer fish เป็นปลาที่หาได้ในน้ำจืดและน้ำเค็ม พบได้ทั่วประเทศที่มีอากาศร้อนอบอุ่น ในประเทศไทยพบปลาปักเป้าน้ำจืดได้ตามแหล่งน้าต่าง ๆ เช่น ตามหนอง คลอง บึง ส่วนปลาปักเป้าหนามทุเรียน เป็นปลาปักเป้าทะเล พบได้ในอ่าวไทย ตามปกติ ปลาปักเป้าจะมีสภาพเหมือนปลาทั่วไป มีหนามสั้นหรือยาวแล้วแต่ชนิด หากถูกรบกวนจะพองตัวโตขึ้น มีรูปร่างคล้ายลูกโป่ง หรือ ลูกบอลลูน ปลาปักเป้าทะเลเป็นที่รู้จักันดี สำหรับชาวประมง ถ้าพบเห็นบนเรือลากอวน เขามักจะทำลายมันทิ้งหรือโยนกลับลงไปในทะเลในญี่ปุ่นเรียกปลาชนิดนี้ว่า “Fuge” ชาวญี่ปุ่นชอบรับประทานแต่ต้องมีการเตรียมโดยผู้ที่มีความชำนาญเฉพาะเป็นพิเศษ จึงจะไม่มีพิษ

พิษของปลาปักเป้ามีชื่อว่า Tetrodotoxin พิษปลาปักเป้า พบมากที่สุดในส่วนของไข่ ตับ ลำไส้ หนัง ส่วนที่เป็นเนื้อปลาจะมีพิษน้อยลักษณะอาการในผู้ที่ได้รับพิษ หลังรับประทานอาหารเข้าไปประมาณ 10-30 นาที จะมีอาการดังนี้ (บางรายอาจเป็นชั่วโมง ขึ้นอยู่ริมปริมาณของพิษที่ผู้ป่วยได้รับเข้าไป)

ระยะแรก จะเริ่มมีอาการชาที่ริมฝีปาก ลิ้น บริเวณ ใบหน้าและปลายนิ้ว รวมทั้งคลื่นไส้อาเจียน
ระยะที่สอง จะมีอาการอ่อนเพลีย ชามากขึ้น แขนขา ไม่มีแรง จน เดินหรือยืนไม่ได้
ระยะที่สาม จะมีกล้ามเนื้อกระตุกคล้ายชัก พูดลำบาก ตะกุกตะกัก เนื่องจากมีอัมพาตของสายกล่องเสียง
ระยะที่สี่ กล้ามเนื้อจะเป็นอัมพาต หายใจไม่ออก ไม่รู้สึกตัว และถึงแก่ความตามโดยการหยุดหายใจ

พิษของปลาปักเป้าไม่มียาแก้พิษ (antidote) โดยเฉพาะต้องรักษาแบบประคับประคองโดยการให้น้ำเกลือ ถ้าหยุดหายใจต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ เมื่อพิษของปลาปักเป้าถูกขับออกไปทางปัสสาวะ ผู้ป่วยก็จะหายจากอาการเหล่านี้ เมื่อเดือนสิงหาคม 2546 ได้มีผู้ป่วยรับประทานอาหารปลาสงสัยว่าเป็นพิษจากปลาปักเป้า 3 รายที่ลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ

รายแรก อายุ 69 ปี เป็นหญิง มาด้วยอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก แขนขาอ่อนแรง มีอาการเขียวคล้ำ cyanosis ให้ใส่อช่วยหายใจแล้วเข้า ICU ได้ประวัติว่า ตอนเย็นประมาณ 18.00 น. ได้ซื้อปลากะพงผัดคึ่นฉ่าย มารับประทานกับลูกชาย ต่อมาประมาณ 21.00 น. ผู้ป่วยตื่นมา ชาทั้งตัว เดินไม่ไหว ต่อมามีอาเจียน เวียนศรีษะ หายใจไม่ค่อยออก จึงมาโรงพยาบาล อยู่โรงพยาบล 3 วัน จึงเอาท่อช่วยหายใจออกต่อมาอีก 2 วันจึงออกจากโรงพยาบาล

รายที่สอง คือ ลูกชายรับประทานปลากะพงผัดคึ่นฉ่ายเพียงเล็กน้อย หลังรับประทานประมาณ 2 ชม. มีอาการชาที่คอปากแห้ง เวียนศรีษะ ชาทั้งตัวแต่ไม่อ่อนแรง วันรุ่งขึ้นอาการหายไปเอง

รายที่สาม เป็นชายอายุ 69 ปี รับประทานอาหารกล่องที่เดียวกันนี้มีปลาด้วย รับประทานไปได้ 2-3 คำ รู้สึกรสชาติแปลกไป รู้สึกลิ้นชา ๆ จึงทิ้งไป ต่อมารู้สึกชาตามปาก คลื่นไส้ อาเจียน รู้สึกเหมือนตัวลอยๆ ได้ไปโรงพยาบาลพักอยู่ 2 วัน อาการทุเลาหายไป

ทั้ง 3 ราย ดังได้กล่าวมาแล้ว แสดงว่า ได้รับประทานปลาเข้าไป ซึ่งเป็นปลาปักเป้า หรือเรียกว่าปลาเนื้อไก่ และมีอาการเป็นพิษ คือมีชาตามปาก ลิ้น คลื่นไส้ อาเจียน แขนขาไม่มีแรง ถ้ารับประทานปลามาก พิษก็เข้าไปเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดอาการรุนแรง หายใจไม่ออก และกล้ามเนื้อเกี่ยวกับหายใจ เป็นอัมพาตต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ มิฉะนั้น อาจถึงแก่ความตาย

ฉะนั้น การรับประทานอาหารต้องระวัง เช่น ข้าวต้มปลา หรือปลาผัดคึ้นฉ่าย ถ้าเกิดอาการดังได้กล่าวมาแล้ว ต้องรีบไปโรงพยาบาล มิฉะนั้น ถ้ารักษาไม่ทันอาจถึงแก่ชีวิตได้ ความจริงกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศ ฉบับที่ 264 พ.ศ. 2545 เรื่องกำหนดอาหารที่ห้ามผลิตนำเข้า หรือจำหน่าย คือ ปลาปักเป้าทุกชนิด และอาหารที่มีปลาปักเป้าเป็นส่วนผสม เป้นอาหารที่ห้ามผลิตนำเข้าหรือจำหน่าย แต่ก็ยังมีผู้ละเมิดอาจจะรู้หรือไม่รู้เพราะปลาปักเป้ามีราคาถูก และมีเนื้อน่ารับประทานนำมาขายทำให้เกิดเหตุร้ายดังกล่าวมาแล้ว ฉะนั้น จำเป็นต้องระมัดระวัง ในการรับประทาน

Cover photo credit : Pixabay License / bachstroem

ปลาปักเป้า

บทความอื่นที่น่าสนใจ

19 September 2025
บทความทั่วไป
แลกเปลี่ยนประสบการณ์ Resident: CISTM19 ณ เมืองนิวออร์ลีนส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

บทความโดย:นพ.ธรรมธัช วีรมโนมัยพญ.นริศรา เตชวัชรา ระหว่างวันที่ 11 – 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา องค์กร International Society of Travel Medicine (ISTM) ได้จัดการประชุมวิชาการนานาชาติครั้งที่ 19 หรือ The 19th Conference of the International Society of Travel Medicine (CISTM19) ณ เมือง นิวออร์ลีนส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นงานประชุมที่ใหญ่ที่สุดในแวดวงเวชศาสตร์การเดินทาง จัดขึ้นเป็นประจำทุก 2 ปี โดยมีผู้เข้าร่วมจากหลากหลายประเทศทั่วโลก การประชุมครั้งนี้เป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศไทยได้ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ ขยายเครือข่ายวิชาชีพพร้อมทั้งสะท้อนศักยภาพของไทยในด้านการพัฒนาเวชศาสตร์การเดินทางให้ก้าวทันต่อสถานการณ์สุขภาพโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นับเป็นอีกก้าวที่สำคัญในการยกระดับมาตรฐานการให้บริการและการวิจัยของไทยสู่ระดับสากล นิวออร์ลีนส์กับโรคไข้เหลือง แม้นิวออร์ลีนส์จะเป็นที่รู้จักในฐานะบ้านเกิดของดนตรีแจ๊ส แต่ในอีกด้านหนึ่ง เมืองนี้ก็มีประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับโรคไข้เหลือง — โรคติดเชื้อที่แพทย์เวชศาสตร์การเดินทางรู้จักกันดี ก่อนที่วัคซีนไข้เหลืองจะถูกพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1937 สหรัฐอเมริกาเคยเป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญกับการระบาดของโรคนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในศตวรรษที่ […]

cistm19
conference
travel medicine
อ่านเพิ่มเติม
15 September 2025
บทความทางการแพทย์
การแพ้ถั่วขณะโดยสารเครื่องบิน

นพ. สกานต์ เจริญสกุลไชย โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน และนพ. จิรัฏฐ์ สุขมี โรงพยาบาลพัทยาปัทมคุณ ปัจจุบัน ประมาณร้อยละ 1 ถึง 10 ของประชากรโลกแพ้อาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง (1, 2) โดยอาหารที่แพ้บ่อยที่สุด ได้แก่ ถั่ว ถั่วลิสง นมวัว ไข่ ปลา สัตว์ทะเลมีเปลือก ข้าวสาลี และถั่วเหลือง กลุ่มประชากรเหล่านี้มีจำนวนไม่น้อยที่โดยสารโดยเครื่องบินซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพ้ระหว่างโดยสาร ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา มีรายงานหลายกรณีเกี่ยวกับการแพ้ถั่วบนเครื่องบิน รวมถึงกรณีรุนแรงที่นำไปสู่การเสียชีวิต บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการแพ้ถั่วขณะโดยสารเครื่องบินรวมถึงมาตรการที่จะปกป้องผู้โดยสารที่แพ้อาหารดังกล่าว ความชุกของการแพ้ถั่วขณะโดยสารเครื่องบิน การแพ้อาหารในนักเดินทางและนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างการโดยสารเครื่องบิน โดยความชุกของการแพ้ในผู้ที่มีประวัติแพ้อาหารเดิมอยู่ระหว่างร้อยละ 0.7 ถึง 10.7 (3-7) ถั่วและถั่วลิสงเป็นสาเหตุหลักของการแพ้อาหารในกรณีนี้ คิดเป็นร้อยละ 62.5 ถึง 75.0 ของการแพ้อาหารทั้งหมด (7, 8) จากการศึกษาก่อนหน้าพบว่า การสัมผัสถั่วระหว่างการโดยสารเครื่องบินสามารถเกิดขึ้นได้ 3 ช่องทาง ได้แก่ การสูดหายใจ การรับประทาน และผ่านการสัมผัสกับผิวสัมผัสต่างๆ โดยการสูดหายใจถือเป็นช่องทางที่พบได้บ่อยที่สุด […]

แพ้ถั่ว
แพ้อาหาร
อ่านเพิ่มเติม
18 November 2024
คำถามที่ถามบ่อยเกี่ยวกับโรคมาลาเรีย

ข้อมูลจาก: แผ่นพับให้ความรู้ประชาชน โดยคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล โรคมาลาเรียคืออะไร       โรคมาลาเรียเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง ติดจากยุงมาสู่คน โดยเชื้อมาลาเรียในมนุษย์มีทั้งหมด 4 ชนิดคือ Plasmodium falciparum, Plasmodium vivax, Plasmodium malariae    และ  Plasmodium ovalae โรคมาลาเรียพบบ่อยแค่ไหน และพบในส่วนไหนของประเทศไทย        โรคมาลาเรียพบในประเทศเขตร้อน และเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญ องค์การอนามัยโรคประมาณกันว่าในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยเป็นมาลาเรียถึงปีละ 300-400 ล้านคนทั่วโลก และมีคนเสียชีวิตปีละประมาณ 1 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เกิดในทวีปแอฟริกา          ส่วนในประเทศไทยเองสามารถพบเชื้อมาลาเรียได้ในเขตป่า โดยเฉพาะตามเขตชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านเช่น ชายแดนไทย-พม่า ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยจังหวัดที่มีการรายงานพบผู้ป่วยมาลาเรียเป็นจำนวนมากคือ จังหวัดตาก กาญจนบุรี ตราด ราชบุรี แม่ฮ่องสอน เป็นต้น โดยจะพบในเขตพื้นที่ที่เป็นป่าเขาเท่านั้น  ไม่พบมาลาเรียในเขตเมือง โรคมาลาเรียติดต่ออย่างไร          โดยปกติแล้วคนสามารถติดเชื้อมาลาเรียโดยการถูกยุงก้นปล่อง (Anopheles)กัด โดยยุงจะปล่อยเชื้อมาลาเรียเข้าร่างกายคน หลังจากนั้นจะมีการแบ่งตัวมากขึ้นทำให้เกิดอาการของโรคมาลาเรียได้ และ เมื่อมียุงก้นปล่องมากัดคนที่เป็นมาลาเรียจะสามารถนำเชื้อแพร่ไปสู่คนอื่นได้อีก           เนื่องจากเชื้อมาลาเรียอยู่ในกระแสเลือดของผู้ป่วย ดังนั้นจึงมีรายงานการติดเชื้อมาลาเรียโดยการได้รับเลือด โดยการใช้เข็มฉีดยาหรือกระบอกฉีดยาร่วมกัน อาการของโรคมาลาเรียเป็นอย่างไร           โดยปกติแล้วผู้ป่วยมักจะเริ่มมีอาการภายหลังได้รับเชื้อแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ถึง 2 เดือน โดยอาการของผูป่วยคือจะมีไข้สูง หนาวสั่น เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว บางรายมีการบวดท้อง […]

มาลาเรีย
ยุง
เขตร้อน
โรคติดเชื้อ
อ่านเพิ่มเติม